...จากในอดีตที่ผู้คนในสังคมไทยกินอยู่แต่พอดี

       

       ...มาวันนี้ สังคมไทยกำลังเผชิญหน้ากับภาวะวิกฤตเนื่องด้วยตกอยู่ในกระแสบริโภคนิยม จนทำให้สภาพสังคมและวัฒนธรรมของชาติอ่อนแอและศีลธรรมอันดีเสื่อมตัวลงไปเป็นลำดับ ผู้คนยึดความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย นับหน้าถือตาเอาวัตถุเป็นตัวตั้ง โดยละเลยความสำนึกดี ซื่อสัตย์ สุจริต จริยธรรม คุณธรรม

       คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วเราจะอยู่กันได้อย่างไรในสังคมทุกวันนี้

       

       ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาได้แนะทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยนำเสนอเอาไว้หนังสือเล่มใหม่ล่าสุด "หลักธรรม หลักทำ ตามรอยพระยุคลบาท" ซึ่งเขียนโดยดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และเพิ่งจะเปิดตัวอย่างทางการในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 10 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2548 ที่ผ่านมา

       

       เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก

       ดร.สุเมธอธิบายเอาไว้ว่า หนทางหนึ่งที่จะช่วยเยียวยาให้สังคมไทยกลับมาเข้มแข็งได้คืออยากให้ทุกคนยึด “ ธรรมะ ” เป็นที่ตั้งในจิตใจ

       

       "ที่ผ่านมาคนไทยครองชีวิตครองตัวอยู่อย่างพอดี อยู่อย่างถ่อมเนื้อถ่อมตน ยึดเส้นทางสายกลาง อยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียงที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งกับเรามาโดยตลอด บ้านเมืองมีความสุขพอสมควร แต่นับจากวันที่เราก้าวไปสู่ยุคปรับเปลี่ยนจากสิ่งที่เป็นวิถีชีวิตดั้งเดิม เปลี่ยนไปสร้างความร่ำรวยยึดเงินทองเป็นที่ตั้ง คือสร้างความเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทุกฉบับ โดยคิดว่าเราต้องสร้างความร่ำรวยให้ได้ก็พอ แล้วทุกอย่างจะดีตามมาเอง แต่ความเป็นจริงเรากลับเสียทุกอย่างเช่น ทรัพยากรธรรมชาติ และที่สำคัญที่สุดคือเราเสียคน"

       

       ดร.สุเมธให้คำแนะนำถึงหลักการใช้ชีวิตเอาไว้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับเปลี่ยนกันเสียที โดยให้ยึดหลักพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่ง59 ปีที่ผ่านมานั้นได้ทรงคิด ทรงแสดง ทรงทำให้ดูมาหมดทุกอย่างเพื่อรักษาประเทศนี้ไว้

       

       ในหลวงทรงสอนง่ายๆ ให้พอเพียง อยากให้ทุกคนยึดความพอดี นำชีวิตไปสู่”ประโยชน์สุข “คือในใจต้องให้เกิดความสุข ถ้าใครนำหลักธรรมในหลวง 10 ประการ เช่น “ ทานํ ” การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน “ อาชฺชวํ ” คือความเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต “อวิหิงสา ” คือความไม่เบียดเบียน “ และ “ อวิโรธนํ ” คือความไม่คลาดธรรม เป็นต้น ไปปฏิบัติแล้วน่าจะเกิดประโยชน์แก่ตัวเอง มีความสุขตามอัตภาพ ชีวิตไม่ทุกข์แค่นี้ก็พอเพียงแล้ว

       

       “ ผมมองว่าธรรมะเยียวยาสังคมได้ แต่ก็ไม่ได้คาดหวัง และไม่รู้ว่า 10 ถึง 20 ปีจะดีขึ้นหรือไม่ ขอเพียงมีคนนำไปปฏิบัติก็พอใจแล้ว ทำดีไปเรื่อยๆ ปฏิบัติถูกต้องไปเรื่อยๆ อย่าไปแคร์ อย่าไปคำนึงถึงผลสำเร็จเมื่อไหร่ สังคมจะมีแต่ความสุข ทุกๆด้าน ทั้งด้านการศึกษา สังคม เศรษฐกิจ ตลอดจนถึงครอบครัว สุดท้ายชีวิตนี้ก็จะมีแต่ความสุขสงบ" เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาให้คำแนะนำ

99 บาท

---