ทที่ 6 คนสองบุคลิก
ขณะที่ต้นข้าวยืนรอลิฟต์ของโรงพยาบาลอยู่นั้น สายตาก็หันไปเห็นใครบางคนที่เดินใกล้เข้ามา เธอส่งยิ้มให้ แต่ดูเหมือนเขาจะเพิ่งเห็นก็ตอนที่มายืนอยู่ใกล้
“พี่คิม ยังไม่ไปทำงานอีกเหรอคะ”ต้นข้าวถาม
“ข้าวเห็นพี่ออกมาตั้งแต่เช้า นึกว่าตอนนี้จะกำลังทำงานอยู่ซะอีก”
“พี่เป็นห่วงคุณพ่อ เลยอยากแวะมาดูแลท่าน”เขาบอก
ต้นข้าวมองมาอย่างซึ้งใจ ไม่คิดว่าเขาจะห่วงไยคนในครอบครัวเธอขนาดนี้
“ลิฟต์มาแล้ว เชิญจ่ะ”เขาฝายมือให้เธอเข้าไปก่อน ส่วนตัวเองก็ตามเข้ามาทีหลัง
“งานไม่ยุ่งเหรอ ทำไมปลีกตัวมาดูคุณพ่อได้”ต้นข้าวถามเมื่ออยู่ในลิฟต์ด้วยกันสองคน
“ก็ไม่เชิงหรอก แต่ก็ไม่ยุ่งซะจนปลีกตัวไม่ได้”
“ทำไมพี่คิมไม่บอกว่ามาโรงพยาบาลคะ ข้าวจะได้ออกมาพร้อมพี่เลย”เธอสงสัย
“คือพี่ต้องเข้าไปที่บริษัทก่อน ก็เลยไม่อยากให้ข้าวต้องเสียเวลาไปด้วย”
“ออ ค่ะ”ต้นข้าวพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ประตูลิฟต์ค่อยๆ เปิดออกเมื่อมาถึงชั้นที่กดไว้ ทั้งสองจึงเดินออกมาแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องที่วิศิษฐ์พักฟื้นอยู่
วิศิษฐ์เป็นอัมพาตทั้งตัวจนไม่สามารถขยับตัวได้ ตอนนี้กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง และเมื่อเห็นวาคิมเดินมาพร้อมกับต้นข้าว เขาก็น้ำตาร่วง
วาคิมมองอีกฝ่ายที่นอนนิ่ง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็เดินเข้ามาใกล้ ขณะที่ต้นข้าวได้เดินไปถามอาการของผู้เป็นพ่อจากพยาบาลพิเศษที่จ้างให้เฝ้าไข้
“วันนี้อาการคุณพ่อเป็นไงบ้างคะ”เธอถาม
“ทรงตัวค่ะ บาดแผลภายนอกไม่น่าห่วง แต่อัมพาตคงต้องใช้ระยะเวลา”พยาบาลกล่าว
วาคิมหันไปมองต้นข้าวซึ่งกำลังพูดคุยอยู่กับพยาบาลก่อนจะหันมาทางวิศิษฐ์ เขาเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นพร้อมทั้งสำรวจอาการโดยรวม
วิศิษฐ์โกรธจนน้ำตาไหล ไม่คิดว่าคนที่ไว้ใจ จะทำอย่างนี้กับครอบครัวเขาได้
“ฮาฮืม ..ฮืม ..ฮือ”เสียงครางดังมาจากผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียง
ต้นข้าวรีบวิ่งมายังผู้เป็นพ่อด้วยความเป็นห่วง เธอพยายามจะทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
“คุณพ่อจะเอาอะไรเหรอคะ”
“ฮืม ..ฮืม ..ฮืม”วิศิษฐ์พยายามบอกบางอย่างกับลูก แต่ทำได้แค่ส่งเสียงครางออกมา
“สงสัยคุณพ่อจะอยากดื่มน้ำหรือเปล่าจ๊ะข้าว”วาคิมกล่าวก่อนจะหันมามองผู้ป่วยด้วยรอยยิ้มที่เหนือกว่า หากแต่ต้นข้าวหาได้เห็นไม่ เพราะมัวแต่เป็นห่วงผู้เป็นบิดา
“คุณพ่อจะดื่มน้ำเหรอคะ”เธอถามย้ำ
“ฮืม ..ฮืม”วิศิษฐ์พยายามจะสื่อสารให้ลูกเข้าใจ แต่ทำได้แต่เพียงส่งเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์
“เดี๋ยวพี่ไปหยิบน้ำมาให้คุณพ่อดีกว่า สงสัยท่านจะคอแห้งมากแล้วล่ะ”พูดจบเขาก็เดินไปรินน้ำใส่แก้วมาให้
“ฮีม ..ฮีม”สายตาของวิศิษฐ์มองไปที่วาคิมด้วยความโกรธแค้น
“คุณพ่อพยายามจะเรียกพี่หรือเปล่าค่ะ”ต้นข้าวหันมาถามวาคิมด้วยความสงสัย
“ไม่รู้สิ อาจจะใช่มั๊ง ท่านคงเป็นห่วงข้าวแล้วก็บริษัท บางทีท่านอาจจะอยากให้พี่ดูแลทุกอย่างให้ดี”เขากล่าวก่อนจะถามย้ำ
“ใช่หรือเปล่าครับ คุณพ่อ”วาคิมมองคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสายตาแห่งชัยชนะ
“อย่าห่วงไปเลยครับ ผมจะดูแลต้นข้าวและบริษัทของคุณพ่อเป็นอย่างดี วางใจเถอะครับ”รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของวาคิมทำให้วิศิษฐ์ต้องคลั่ง
“แฮ ..”วิศิษฐ์เปล่งเสียงออกมาอย่างเหลืออด อัดอั้นที่ต้องมาทนทรมานอยู่อย่างนี้
“คุณพ่ออย่าห่วงข้าวกับพี่ๆ เลยค่ะ ส่วนบริษัทก็ไม่มีอะไรน่ากังวล ข้าวเชื่อว่าพี่คิมจะดูแลและจัดการทุกอย่างได้ คุณพ่อรักษาสุขภาพเถอะค่ะ อย่าคิดมากเลย เพราะความเครียดจะทำให้อาการทรุด เชื่อข้าวเถอะนะ”
คำพูดของต้นข้าวทำให้วิศิษฐ์น้ำตาไหลมากขึ้น คับแค้นใจที่ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่จะพูดยังทำไม่ได้ แล้วจะมีปัญญาอะไรไปขัดขวางฆาตกรเลือดเย็นอย่างวาคิม
ผู้เป็นพ่ออย่างเขารู้อยู่เต็มอกว่าลูกกำลังตกอยู่ในอันตรายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ
วิศิษฐ์ยังจำสายตาของวาคิมในวันเกิดอุบัติเหตุได้ ในวันนั้นเขาร้องขอให้วาคิมช่วย แต่นอกจากไม่ช่วยแล้ว วาคิมยังจะสมน้ำหน้าและดีใจที่เขาประสบอุบัติเหตุ
และที่ยิ่งไปกว่านั้น วิศิษฐ์มั่นใจว่าอุบัติเหตุของเขาไม่ใช่แค่อุบัติเหตุธรรมดาๆ อย่างที่ตำรวจสรุป
ตอนนี้เขาเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันจะต้องเป็นการวางแผนฆาตกรรม ซึ่งคนที่วางแผนก็ไม่ใช่ใครอื่น ..วาคิม ลูกเขยที่แสนดีของเขานั่นเอง
วาคิมมีบางสิ่งบางอย่างที่ปกปิดไว้
ทว่า สิ่งนั้นคืออะไร ใครเล่าจะตอบ
ต้นข้าวและวาคิมอยู่ดูแลวิศิษฐ์เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงก่อนจะกลับบ้าน วาคิมจึงขับรถมาส่งเธอที่บ้านแล้วก็ขับรถไปยังบริษัท
“ขับรถระวังด้วยนะคะ”เธอบอก
“อืม”เขาพยักหน้าแล้วขับรถออกไป ทว่า เขาหาได้ไปยังบริษัทตามที่ได้บอกเธอไม่ รถของเขาแล่นกลับไปยังโรงพยาบาลอีกครั้ง
ประตูห้องพักของวิศิษฐ์ เปิดออก พยาบาลจึงส่งยิ้มให้เมื่อเห็นว่าเป็นวาคิม
“ท่านเพิ่งจะหลับไปเมื่อครู่นี้เองค่ะ”พยาบาลรายงาน
“ขอบคุณครับ”เขากล่าวพร้อมทั้งนึกบางอย่างขึ้นได้
“ขอโทษนะครับ คือผมรู้สึกปวดหัวมากเลย รบกวนคุณพยาบาลช่วยหายาให้หน่อยได้หรือเปล่า”นั่นคือแผนการที่จะทำให้อีกฝ่ายออกจากห้อง
“ค่ะ สักครู่นะคะ”พยาบาลบอกแล้วก็เดินออกไป
เขามองไปยังวิศิษฐ์ เท้าค่อยๆ เดินเข้ามาทีละก้าวทีละก้าว ใกล้ขึ้นทุกทีๆ ใบหน้าดูโหดเหี้ยม อัมหิต และเลือดเย็น
ราวกับผู้ป่วยสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนมายืนอยู่ใกล้ๆ จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ซึ่งเมื่อเห็นว่าเป็นใครก็แทบช็อค
“อย่ากลัวไปเลย ผมไม่ได้ตามมาฆ่าคุณหรอก เพียงแต่จะมาไขปริศนาที่อาจจะค้างคาใจคุณอยู่”คำพูดนั้นทำให้วิศิษฐ์สนใจได้มากทีเดียว
“ยังจำเหตุการณ์ที่คุณทำให้ครอบครัวหนึ่งต้องล้มละลายเมื่อสิบปีก่อนได้ไหม”เขาถามพร้อมทั้งจ้องหน้าผู้ที่นอนอยู่บนเตียงราวกับจะกระชากวิญญาณ
“พ่อแม่ผมต้องสังเวยชีวิตให้พวกคุณ มันก็ถึงเวลาแล้วที่คนตระกูลฐานิษกูลจะต้องชดใช้ทุกอย่างให้พวกเรา”รอยยิ้มบนใบหน้าปรากฏ เมื่อตนเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า
“รู้หรือเปล่าว่าคนต่อไปที่ผมจะจัดการเป็นใคร”เขาถามเพื่อให้อีกฝ่ายคาดเดา
“แฮ ..”
“ลูกสาวสุดที่รักคุณไง แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก รออีกหน่อย ซึ่งคงอีกไม่นาน”คำพูดนั้นทำให้วิศิษฐ์อยากลุกมาอาละวาด แต่ทำได้มากสุดแค่ส่งเสียงร้องดัง
“ห้าย! ..ม้าย!”เขาเกร็งไปทั้งตัว อาการทรุดลงในทันใด
ขณะนั้นเองพยาบาลก็เดินกลับเข้ามา อาการเกร็งจนแข็งของคนไข้ทำให้เธอต้องรีบวิ่งเข้ามาดู
“เกิดอะไรขึ้นคะ”พยาบาลถาม
“ไม่ทราบสิครับ อยู่ๆ ท่านก็เกร็งทั้งตัวแบบนี้ ผมว่าคุณรีบเรียกหมอมาดูอาการเถอะ”เขาบอก สายตามองทอดไปยังร่างที่โคม่าอยู่บนเตียง รอยยิ้มปรากฏน้อยๆ ที่มุมปาก
ต้นกล้าซึ่งเดินทางมาเยี่ยมผู้เป็นพ่อได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดห้องของพ่อเขามีหมอและพยาบาลเข้ามาเต็มไปหมด
“รีบนำเข้าห้องไอซียู”หมอสั่งกับพยาบาล
วาคิมมองไปยังต้นกล้าที่เพิ่งจะมาถึง ทั้งสองต่างมองหน้ากัน ต้นกล้าอยากจะเข้าไปถามเขาเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เตียงที่เข็ญผู้เป็นพ่อออกไปนั้นทำให้กังวลมากกว่า จึงรีบเดินตามเตียงเข็ญนั้นไป
วาคิมเองก็เดินตามไป และเมื่อมายืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ต้นกล้าจึงมีโอกาสได้ซักถามจากวาคิม
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณพ่อทรุดลงแบบนั้น”ต้นกล้าข้องใจ
“ไม่รู้สิ อยู่ๆ ท่านก็เกร็งไปทั้งตัว”วาคิมบอก
ต้นกล้ามองมาอย่างไม่ไว้วางใจนัก ใช่ว่าเขามีอคติ ทว่า ด้วยเซ้นส์บางอย่างที่บอกว่า ไม่ควรเชื่อใจวาคิมจนมากเกินไป
*¬¬¬¬¬__________________________________________*
ต้นข้าวกลับมายังโรงพยาบาลอีกครั้ง ก็ได้พบวาคิมและต้นกล้า เธอมองทั้งสองด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“คุณพ่อ เป็นไงบ้างคะ”
“หมอยังไม่ออกมาเลย”ต้นกล้าบอก
“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ อาการถึงทรุดลงไปอีก”เธอสงสัย
“นั่นสิ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน มาถึงคุณพ่อก็โคม่าแล้ว”ต้นกล้าน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ออ ..”ต้นข้าวพยักรับทราบจากนั้นก็หันไปยังวาคิม “ข้าวนึกว่าพี่กลับไปบริษัทเสียอีก”
“เอ่อ ..”วาคิมตะคุกตะกัก
“พี่รู้สึกไม่ค่อยสบาย เลยกลับมาให้หมอตรวจดูอาการ แล้วก็แวะมาหาคุณพ่ออีกครั้ง แต่พอขึ้นมาก็ไม่คิดว่าคุณพ่อจะอาการทรุด”
ต้นกล้าหันไปมองวาคิม ความขุ่นข้องในใจเริ่มก่อตัว รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
“วันนี้ข้าวกับพี่คิมมาเยี่ยมคุณพ่อแล้วเหรอ”ต้นกล้าถามเพื่อความมั่นใจ
“ค่ะ เรามาแล้ว แล้วก็เพิ่งกลับไปราวสักชั่วโมงเอง”ต้นข้าวตอบตามตรง
“อืม ..”ต้นกล้าพยักหน้าก่อนจะมองไปยังวาคิม ขณะเดียวกันหมอก็เดินออกมาจากห้องไอซียูเพื่อรายงานเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย
“คุณพ่อเป็นไงบ้างคะ”ต้นข้าวถามด้วยความร้อนใจ
“ท่านอาการทรงตัวแล้วครับ วางใจได้”แพทย์ผู้ทำการรักษาบอก
“จากที่อาการทรุดเมื่อครู่ดูเหมือนท่านอาจจะตกใจ กลัว หรือเครียด ซึ่งมันทำให้สมองของท่านทำงานหนัก เลยส่งผลให้ตัวเกร็งอย่างที่เห็น”
คำพูดของแพทย์ทำให้ต้นกล้าขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะทบทวนอีกครั้ง
“ตกใจ กลัว เครียด งั้นเหรอ”เขาถามตัวเองก่อนจะมองไปยังวาคิม
ราคาปกติ
245 บาท
ราคา
245 บาท
เพิ่มลงในตะกร้า