บทที่ 7 ก้าวใกล้ความชอกช้ำ 50%
“ได้...ได้สิ จะไปเมื่อไหร่ผมจะไปบอกคุณแล้วกัน” ว่าแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ บ้านของพิชฎาไม่ได้ติดแอร์ มีเพียงพัดลมเพดานที่ครางเบาๆ ช่วยพัดไม่ให้บริเวณโต๊ะอาหารร้อนจนเกินไป แต่กระนั้นคนขี้ร้อนอย่างแมคโลริคก็ไม่ปริปากบ่น เขานั่งนึกอะไรเพลินๆ ในขณะที่พิชฎาเดินขึ้นชั้นสองของบ้านเพื่อทำงานของหล่อนต่อ
บทที่ 7
ก้าวใกล้ความชอกช้ำ
ก๊อกๆ ๆ ๆ
ประตูถูกเคาะเป็นจังหวะหลังจากที่พิชฎาเพิ่งจะเปิดคอมพิวเตอร์ มันยังเซ็ตเครื่องไม่เสร็จด้วยซ้ำ หล่อนกลอกตาขึ้นฟ้าอีกระลอก ชักรำคาญเจ้าหนี้ตัวร้ายขึ้นมาจริงๆ
“อะไรอีกล่ะ ฉันมีงานมีการต้องทำนะ” กระแทกเสียงใส่บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลังจากที่ประตูเปิดอ้าออก แมคโลริคยืนสง่าอยู่ตรงนี้ไม่มีทีท่าว่าจะกริ่งเกรงน้ำเสียงห้วนๆ ของเธอเลย
“ก็ผมลืมดอกเบี้ย เลยมาทวง” พูดจบก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะรวบร่างอรชรเข้ามาในวงแขน
พิชฎาหน้าตื่น เขารุกเร็วจนหล่อนตั้งตัวไม่ทัน
“มะ...ไม่ ไม่นะ คุณจะทำแบบนั้นกับฉันที่นี่ไม่ได้ ฉันไม่ยอม!” หล่อนยืนกรานพลางผลักแผ่นอกหนาที่มีแผ่นเนื้อหนั่นแน่นออกห่างร่างตน ทว่ามันไม่เคยสำเร็จในเมื่อเจ้าของแผ่นอกช่างสูงใหญ่กำยำจนยากจะต้านทาน
“ฮั่นแน่...คุณคิดว่าผมจะทำอะไรรึคุณนักเขียน ผมแค่จะจูบคุณให้หายคิดถึงเท่านั้นเอง หึๆ”
ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย มันทำให้พวงแก้มของฝ้ายตรงข้ามขึ้นสีระเรื่ออย่างไม่อาจห้ามปราม
“จูบหรือ...อ่า...จะจูบก็จูบเร็วๆ สิฉันมีงานมีการต้อ...อื้อ...” พูดยังไม่จบประโยคริมฝีปากอุ่นร้อนของบุรุษเลือดผสมก็ประทับลงมาที่ริมฝีปากบางแนบแน่น ลิ้นสากระคายล้วงเร็วในโพรงปากนุ่มทั้งกระหวัดไล้ชิมความหอมหวานอย่างโหยหา สองมือแกร่งโอบกอดร่างอรชรลูบไล้เชื่องช้าแต่เต็มไปด้วยความผ่าวร้อนที่พกพาความเสียวซ่านไปสถิตไว้ในทุกตารางนิ้วที่มันเคลื่อนผ่าน กลิ่นกายชายกำจายออกจากร่างราวฟีโรโมนที่ปล่อยออกมาเพื่อให้กายสาวของพิศฎาตื่นเพริศ เขากระทำทุกอย่างอย่างตั้งใจ เขาไม่สนแว่นคุณป้าอันแสนเกะกะของเธอด้วยซ้ำ
“พะ...พอ...พอก่อน ได้โปรด...” นักเขียนสาวร้องขอ แมคโลริคเลยจำต้องถอดถอนจุมพิตแม้ว่ายังเสียดาย หล่อนขยับแว่นที่ร่นลงมาให้เขาที่ กะพริบตาถี่ๆ พร้อมกับสูบอากาศเข้าปอด
แมคโลริคยิ้มอย่างพอใจ เขาอยากทำมากกว่านี้แต่ก็ไม่อยากหักหาญน้ำใจ เขาไม่นิยมการใช้กำลัง มันไม่น่าพิสมัยและไม่คาดว่าตัวเองจะกล้าทำ
“แค่นี้ก็ยอมแพ้แล้วหรือ น่าขายหน้าจัง” บุรุษหน้าคมเอ่ยเย้าหญิงสาวที่เพิ่งถูกจุมพิต ตอนนี้หล่อนหน้าแดงไปถึงลำคอ ริมฝีปากเจ่อเล็กน้อย ดวงตาหวานฉ่ำที่ใต้แว่นหนาเตอะส่งประกายเชิญชวนโดยไม่รู้ตัว พอบวกกับผมเผ้าที่ไม่เรียบร้อยมันจึงดูเซ็กซี่จนเขาไม่อยากปลดปล่อยร่างนี้ออกจากอ้อมแขน
“ฉันยอมขายหน้าถ้าไม่ต้องโดนเอาเปรียบ” หล่อนเถียง พยายามดันร่างตนออกจากอ้อมแขนแกร่ง
“ผมต่างหากที่โดนเอาเปรียบ เงินตั้งสองล้านแต่ได้แค่จูบเป็นดอกเบี้ย” เขาเถียงบ้าง แต่หน้าตาไม่ได้จริงจัง
พิชฎาค้อนขวับ หล่อนคิดว่าให้เขามากกว่าจูบแล้วนะ
“ก็คิดดอกเบี้ยเป็นอย่างอื่นสิยะ ฉันก็ไม่ชอบวิธีเรียกดอกเบี้ยของคุณนักหรอกเปลืองตัวชะมัด”
“จุ๊ๆๆ ไม่เอาน่าที่รัก อย่าเรื่องมากกับเจ้าหนี้สิครับ ถ้าเจ้าหนี้ไม่มีความอดทนจับปล้ำไม่รู้ด้วยนะ”
“นี่คุณ!” ตวาดแหว หน้าตาเอาเรื่อง
“ครับ ว่ายังไงครับ เอ...ทำหน้าทำตาแบบนี้หรือว่าอยากให้ปล้ำ” เขายังไม่เลิกต่อล้อต่อเถียง เขามีความสุขเวลาได้ใกล้ชิดหล่อนแบบนี้ ได้แกล้งหล่อนแบบนี้ด้วย
“โธ่เอ๊ย! เมื่อไหร่คุณจะเลิกกวนประสาทฉันนะ” หล่อนตะโกนถามแม้ว่าเขาจะอยู่ใกล้ในระยะประชิด
“เมื่อวันที่คุณเลิกทำงานแล้วลงไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน” เขาเฉลยพร้อมรอยยิ้มแห่งความห่วงใยที่พร่างพรายบนใบหน้า
นักเขียนสาวหน้าตึง ในที่สุดเขาก็เฉลยออกมาจนได้ว่าอยากเป็นฝ่ายชนะ ก็ได้ หล่อนจะตามใจเขาให้มันสุดโต่งไปเลย จะได้เลิกมารังควาญกันเสียที
“เออ! ไปก็ไป!” หล่อนตอบเสียงดังฟังชัด สลัดอ้อมแขนแกร่งที่ตอนนี้กอดไว้เพียงหลวมๆ ให้หลุดจากร่าง ก่อนจะเดินไปปิดคอมแล้วถอดแว่นคุณป้าวางไว้บนโต๊ะนั้น ก่อนจะเดินผ่านเขาอย่างกระแทกกระทั้นเพื่อลงไปชั้นล่าง
แมคโลริคเดินตามเจ้าบ้านลงมาติดๆ ถือวิสาสะโอบเอวบ้างเล็กน้อยก่อนที่หล่อนจะเดินลงบันไดขั้นสุดท้าย
“นี่คุณ จะมาโอบมากอดอะไรนักหนา ฉันร้อนนะ”
“แต่ผมไม่ร้อน” เขาบอกหน้าตาย พิชฎาได้แต่ถอนหายใจ หล่อนคงต้องเริ่มทำใจให้ชินและไว้อาลัยให้กับความสงบสุขในชีวิตตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
เจ้าบ้านสั่งให้เจ้าหนี้หนุ่มนั่งรอในขณะที่หล่อนแกะข้าวปลาอาหารที่เขาซื้อมา ยอมรับว่าอาหารหลายอย่างชวนให้หิวขึ้นมาตงิดๆ หล่อนเทข้าวสวยจากกล่องพลาสติกใสใส่ลงในจานแล้วยื่นให้เขา มันมีปริมาณมากกว่าในจานของตัวเองเท่าตัว
“กินแค่นั้นอิ่มหรือ?” เขาถาม ก้มมองข้าวในจานตัวเองสลับกับจานของหล่อนอย่างงงวย
“อือ...ฉันกินแค่นี้แหละ ตัวเล็กนิดเดียวจะกินอะไรมากมาย” หล่อนว่าแล้วเริ่มรับประทานอาการช้าๆ ในขณะที่แมคโลริคครุ่นคิดบางอย่าง
“อีกหน่อยถ้าคุณท้องคุณต้องกินเยอะกว่านี้นะ ไม่งั้นลูกเราไม่โตแน่ๆ” เขาเอ่ยด้วยท่าทีเรียบเรื่อยแต่จริงจังในน้ำเสียง
พิชฎาถือช้อนค้างกลางอากาศ นี่หล่อนไปวางแผนครอบครัวร่วมกันกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ใครเขาจะไปมีลูกกับคุณไม่ทราบ” ว่าแล้วก็หน้าแดงอีกระลอก ช้อนที่ถือค้างอยู่ถูกวางลงที่เดิม หล่อนเขินจนกระเดือกอะไรลงท้องไม่ลง
“ก็คุณไง เตรียมตัวไวเลยถ้าไม่มีเงินใช้หนี้คุณได้ทำลูกให้ผมแน่ๆ” เขาบอกยิ้มๆ แต่คนฟังหน้าเจื่อน
“คุณล้อฉันเล่นแน่ๆ” หล่อนลองเชิง แต่เขาส่ายหน้า
“ผมเอาจริง” เขายืนยัน ตักข้าวเข้าปากอย่างสบายอารมณ์ ส่วนพิชฎานั้นหรือก็อึ้งจนพูดไม่ออก หล่อนนั่งนิ่งอยู่กว่านาที ก่อนจะหาเสียงตัวเองเจอ
“ฉัน...ฉันไม่พร้อมจะเป็นแม่ใคร ฉันมีแค่รัญตาก็พอแล้ว” หล่อนเอ่ยเบาๆ กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ สมองคิดถึงนิยายหน้าปกสดสวยที่ชอบอ่าน พล็อตมันเหมือนเรื่องราวที่เธอกำลังเผชิญในเวลานี้เหลือเกิน
“ชู่วส์...อย่าพูดอย่างนั้นสิที่รัก เดี๋ยวลูกเราน้อยใจไม่มาเกิดพอดี” ว่าพลางยกน้ำขึ้นจิบ อาหารไทยรสชาติจัดจ้านเกินไปเขาขอยอมแพ้
นักเขียนสาวหน้ายุ่ง นี่เขายังไม่เข้าใจในส่งที่เธอเอ่ยอย่างนั้นหรือ
“ฉันหมายถึงว่า ฉันไม่มีทางเป็นแม่ให้ลูกคุณหรอก ฉันเกลียดเด็กจะตาย” หาทางเอาตัวรอดไปเรื่อย ความจริงก็ไม่ได้เกลียดเด็กอะไรมากมายนักหรอก
“ไม่หรอก เชื่อสิว่าถ้าเป็นลูกของเราคุณจะรักแกที่สุด” เขาบอกแล้วยิ้ม ผายมือใส่อาหารตรงหน้าเป็นเชิงบอกให้พิชฎาเริ่มรับประทานเสียที
“ไม่มีทางย่ะ ฉันไม่มีทางขึ้นเตียงกับผู้ชายอย่างคุณแน่นอน” หล่อนหน้ามุ่ย บ่นพึมพำในประโยคที่แมคโลริคได้ยินแล้วยังแอบอมยิ้ม
“คุณขึ้นเตียงผมมาแล้วที่รัก แม้ว่ามันจะไม่ถึงขั้นทำลูกก็เถอะ หึๆๆ” หนุ่มหล่อเอ่ยแล้วหัวเราะทุ้มต่ำอย่างเจ้าเล่ห์ ส่วนพิชฎาก็หน้าแดงแล้วแดงอีก
“ฉันว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า มันน่าสยองชะมัด” เบะปากอย่างขยะแขยงทั้งที่กายสาวร้อนรุ่มทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องน่าอายนั่น ชีวิตนี้หล่อนไม่เคยต้องพ่ายแพ้แก่ชายใดมาก่อน แมคโลริคเป็นคนแรก เขาเป็นร่างเงาของมัจจุราชร้ายโดยแท้
“โอเค ได้เสมอ” เขายิ้มหลังตอบ พักนี้เขายิ้มบ่อยขึ้นคงเป็นเพราะพิชฎา หล่อนเป็นเหมือนแสงสว่างเล็กๆ ที่ทำให้เขายิ้มได้เมื่ออยู่ในอุโมงค์แห่งความมืดมิด เขารักหล่อนหรือเปล่านะ รักหรือไม่รัก บางครั้งเขาก็ไม่แน่ใจ...ไม่รู้สิ แต่เขามั่นใจว่าไม่มีวันปล่อยมือจากผู้หญิงตรงหน้านี้แน่ๆ ไม่มีวันที่ใครจะมาแย่งหล่อนไปจากเขา ไม่ว่าผู้ชายที่ชื่อธารา หรือแม้แต่ความรู้สึกของรัญตาก็ตาม
หนุ่มสาวเริ่มจริงจังกับมื้อเที่ยงมากขึ้น พิชฎาเองก็รู้สึกว่าวันนี้เจริญอาหารมากเป็นพิเศษ แต่กับข้าวที่เหลือบนโต๊ะก็ยังบ่งบอกได้ว่าคนซื้อซื้อมาเยอะเกินไป หล่อนนั่งละเลียดอาหารไปเรื่อยๆ แอบมองเจ้ามือมื้อนี้เป็นพักๆ เขาเป็นคนหน้าตาดีอันนี้ใครเลยจะกล้าปฏิเสธ เขาดูภูมิฐาน เรียบโก้ตามสไตล์นักธุรกิจระดับรวยล้นฟ้า ดวงตาเขามองการณ์ไกลเสมอไม่ใช่เฉพาะด้านธุรกิจ แม้แต่เรื่องในครอบครัวเขาก็สามารถคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์ในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร โดยเฉพาะเรื่องของรัญตา
“อิ่มแล้วเหรอ” เขาถามแล้วยกน้ำขึ้นจิบ ดวงตาสีเงินยวงเป็นประกายยามจ้องมายังเจ้าบ้าน
“ค่ะ ฉันกินเยอะแล้วนะ ปกติไม่กินเยอะขนาดนี้” หล่อนชี้แจง แล้วจู่ๆ ก็นึกอยากกินขนมหวานขึ้นมา
“นี่คุณ ไม่ได้ซื้อขนมหวานมาเหรอ” คนถูกถามทำหน้างงๆ เขาซื้อมาฝากนะหล่อนไม่ได้ฝากซื้อ จะไปรู้ได้อย่างไรว่าหล่อนอยากรับประทานอะไร
“แล้วอยากกินอะไรล่ะ” ตั้งท่าจะลุกไปซื้อมาให้ แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่มีความสุขเวลาได้เอาใจพิชฎา
“อยากกิน...” คนที่ทำตัวเป็นคุณนายนั่งนึกสักนาทีเศษๆ ก่อนจะร่ายยาวของหวานที่กำลังอยากรับประทาน ไม่ได้เฉลียวใจในความว่าง่ายของเจ้าหนี้แม้แต่น้อย เขายินยอมทำตามคำสั่งเธอโดยไม่มีปริปาก
บุรุษร่างสูงหายไปจากบ้านเช่าหลังน้อยชั่วครู่ เขาใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงก็กลับมาพร้อมถุงพลาสติกตีตราร้านอาหารชื่อดัง หล่อนไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันที่ยินดีเมื่อได้เห็นของหวานหลากหลายชนิดที่เขาซื้อมา เอาใจ
‘ไม่น่า แมคโลริคน่ะหรือจะมาเอาใจลูกหนี้อย่างเรา’
นักเขียนสาวถามตัวเองขณะละเลียดของหวานที่มีน้ำกะทิเข้มข้นเป็นส่วนประกอบหลัก มันไม่หวานมาก แต่หวานพอดี ชื่นใจทุกคำเวลาได้กลืนกินของหวานที่หวานละมุนลิ้น
“อร่อยมากไหม” เขาถาม หัวคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หล่อนกินไปสามถุงแล้ว ท่าทางจะมีพยาธิงูเหลือมขดอยู่ในท้องกระมัง
หล่อนพยักหน้าแทนคำตอบ แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่รับประทานได้อร่อยขนาดนี้ บางทีอาจเป็นเพราะคนที่นำมันมามากกว่า
“กินเยอะขนาดนี้ไม่จุกเหรอ” เขาถามอีก ยืดกายขึ้นแล้วเดินไปนั่งข้างหล่อน วางแขนขวาไว้กับพนักเก้าอี้ กิริยาคล้ายจะโอบเอาคนตัวเล็กอยู่กรายๆ
คนถูกถามเหล่มองคนที่นั่งข้างๆ ถามอย่างเดียวก็ได้ทำไมต้องมานั่งใกล้ด้วยล่ะ เขาเข้ามาใกล้ทีไรเธอรู้สึกว่าเยื่อพรหมจรรย์มันจะหดลงทุกทีๆ
“ฉันกินจุ แค่นี้สบายมาก แล้วของหวานเขาก็อร่อยใช้ได้ทีเดียว คุณลองชิมสิ” หล่อนพยักเพยิดไปที่ถุงของหวานที่เหลือเพื่อให้เขาลองชิม ก่อนจะหันกลับมาเพื่อจะพบว่ามีริมฝีปากอุ่นร้อนรอคอยอยู่
“อื้อ...” คนถูกจุมพิตร้องอู้อี้ ก็หล่อนยังกลืนของหวานไม่หมด ยังมีชิ้นเผือกนุ่มๆ ละเลงอยู่กับน้ำกะทิในปาก ทว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไปเพราะตอนนี้มันย้ายไปอยู่ในปากของแมคโลริคเป็นที่เรียบร้อย
“อืม...หวานจริงๆ” ชมเปาะแล้วยิ้มกระชากใจให้หญิงสาว พิชฎาได้แต่บ่นขมุบขมิบทำอะไรไม่ถูก อยากรู้จริงๆ ว่าลูกหนี้รายอื่นของเขาจะโดนแบบนี้หรือเปล่า
“ฉันต้องทำงานต่อแล้ว คุณก็กลับๆ ไปซะทีสิ”
ชายหนุ่มพลิกข้อมือดูนาฬิกาเรือนหรูก็พบว่ายังมีเวลาพอให้เขาทำอย่างอื่นโดยไม่รบกวนเวลางานของตัวเอง
“แต่ผมยังไม่ได้นอนกลางวันเลย” เขาท้วงเสียงจริงจัง
“ยังไม่ได้นอนก็ไปนอนที่อื่น ที่นี่ไม่ใช่โรงแรมนะคุณจะได้มาเปิดห้องนอนกลางวัน”
บุรุษหน้าคมอยากทวงค่ากับข้าวและของหวานมื้อนี้นัก เขาหรืออุตส่าห์ซื้อหามา เอาใจ...หล่อนจะมีน้ำใจให้เขานอนพักสักงีบไม่ได้เชียวหรือ
“คุณเป็นคนใจร้ายมาก แต่เชื่อไหมว่าใจร้ายยังไงผมก็ชอบคุณอยู่ดี”
คนถูกยอหน้าแดง กะพริบตาปริบๆ เพราะคาดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยออกมาหน้าตายเช่นนี้ คำว่าชอบมันพูดง่ายจริงๆ สำหรับคนอย่างเขา แล้วเธอจะเชื่อได้ไหม
“ฉันไม่หลงคำยอของคุณหรอกนะ มาทางไหนรีบกลับไปเลย ฉันจะได้ทำงานหาเงินมาใช้หนี้คุณซะที”
ไม่ไล่เปล่าแต่ลุกยืนแล้วลากคนตัวโตออกไปส่งถึงหน้ารั้วบ้าน แมคโลริคหัวเราะหึๆ ในลำคอกับการกระทำของหล่อน หล่อนคิดว่าหากเขาต้องการอยู่ที่นี่ต่อแขนเล็กๆ คู่นี้จะหยุดเขาได้งั้นหรือ
แสงแดดยามเที่ยงวันแผดเผากายเนื้อของสองร่างที่ยืนอยู่ริมรั้วบ้าน เจ้าบ้านสาวยืนเท้าสะเอวก่อนจะผายมือส่งแขกไม่ได้รับเชิญให้รีบออกจากบ้านไป แดดแรงขนาดที่หล่อนต้องหยีตายามเงยหน้ามองเขา ใบหน้างามงอนิดๆ เพราะอากาศมันร้อนเกินบรรยาย
แล้วมือแกร่งสองข้างของผู้มาเยือนก็ยกขึ้นบังแสงให้หญิงสาว เขาขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
“คืนนี้ที่บริษัทมีงานเลี้ยง” เขาบอก จดจ้องวงหน้าสวยที่อยู่ตรงหน้า พิชฎาเป็นคนสวยไม่แพ้หลานสาว ยิ่งพวงแก้มใสต้องประกายแดดยิ่งทำให้มันขึ้นสีระเรื่อน่ามอง และน่าหอมซักฟอด มันคงชื่นใจเป็นที่สุด
“บอกฉันทำไม ฉันไม่ใช่พนักงานของคุณสักหน่อย” คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันยามเอ่ยคำถาม เมื่อไหร่แมคโลริคจะไปเสียที เธอร้อนจะตายอยู่แล้ว แม้ว่ามือขาวๆ ของเขาจะช่วยบังแดดให้ก็เถอะ
คิ้วเข้มของแมคโลริคเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนตอบ
“นั่นสินะ ไม่รู้สิ ผมแค่อยากให้คุณไป”
ดวงตากลมโตของนักเขียนสาวเลื่อนมองดวงตาคมให้ชัดๆ เขาทำอย่างกับเธอเป็นคนสำคัญ งานระดับนี้มันเฉพาะคนในองค์กรคนนอกอย่างเธอถ้าไปร่วมงานพร้อมเขาก็ต้องถูกมองว่าเป็นผู้หญิงของเขาเท่านั้น ถ้ารัญตาไม่ได้ทำงานที่นั่นและถ้าเขาบังคับบางทีเธออาจจะไป แต่เมื่อมันเป็นไปไม่ได้ เธอคงต้องรีบชี้แจงไปเสีย
“ฉันไม่ใช่คนสำคัญขนาดนั้นหรอกค่ะ อีกอย่าง ถ้าฉันไปเราคงต้องเตรียมตอบคำถามรัญตา” หล่อนตอบ รู้สึกเสียดายอย่างไรพิกล
“รู้ไหมว่าตอนนี้ผมอยากตอบทุกคำถามของหลานใจจะขาด”
เขาเอ่ยจริงจัง ทำเอาพิชฎาใจเสีย เธอยังไม่อยากให้หลานรู้ความจริงตอนนี้ มันยังเตรียมใจไว้ไม่พอ
“ฉันว่าคุณเลิกร่ำไรแล้วรีบกลับไปทำงานเถอะ ฉันก็จะกลับไปทำงานเหมือนกัน” ว่าแล้วก็ตั้งท่าจะเดินหนี แต่คนที่ยืนอยู่ก็เอื้อมคว้าเอวบางไว้ รั้งให้ร่างอรชรมาแนบชิดแผ่นอกหนา และก่อนที่พิชฎาจะได้ทันทักท้วง ริมฝีปากคมๆ ของแมคโลริคก็จุมพิตเบาๆ ลงมาบนริมฝีปากอิ่ม จ้วงชิมความหวานของโพรงปากอุ่น ลิ้นร้อนอ่อนชื้นเทียวไล้เล็มตวัดไล้ในโพรงปากนุ่มอ่อนจนเจ้าของแทบลืมหายใจ
“อื้อ...พะ...พอก่อน...ฉะ...ฉันหายใจไม่ทัน”
นักเขียนสาววอนขอ มือเรียวผลักอกเขาออกห่าง ดวงตาสองดวงสบสานกันท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุ แล้วแมคโลริคก็ตั้งท่าจะจุมพิตหล่อนอีกครั้ง แต่ทว่า...
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมทำให้ร่างสองร่างผละออกจากกัน พิชฎาหันมามองคนที่ทำให้เกิดเสียง หล่อนหน้าซีดเมื่อพบว่าเป็นธารา ส่วนแมคโลริคหน้าตึงที่เห็นไอ้หนุ่มแว่นหน้าวอกมาพบพิชฎาอีกครั้ง
“มาทำไม” บุรุษเลือดผสมเอ่ยถามเสียงห้วน ขายาวก้าวออกจากรั้วบ้านไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้มาใหม่ พิชฎาจำต้องเดินมาสมทบเพราะใบหน้าของแมคโลริคมันฟ้องว่าเขาพร้อมจะวางมวยใส่อดีตแฟนของเธอได้ทุกเมื่อ
“ผมมาพบเพื่อนเก่า ว่าแต่...นี่แฟนใหม่ฎางั้นหรือ” ธาราแกล้งถามพิชฎา เขามาถึงบ้านนี้นานแล้วแต่ไม่ได้เดินมาใกล้ แอบดูอยู่ห่างๆ ตั้งแต่เห็นพิชฎาและแขกของหล่อนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่
“ไม่ใช่ๆ นี่...เอ่อ...เขาชื่อแมคโลริคเป็นแฟนรัญตา” พิชฎารีบแก้ความเข้าใจผิดของธาราท่ามกลางความไม่พอใจของแมคโลริค ธารารู้จักกับรัญตา มันคงไม่ดีแน่หากธาราจะเข้าใจผิดและเผลอเอาเรื่องนี้ไปคุยให้หลานเธอฟัง
“หือ...แฟนรัญหรือ..อ้อ...ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะครับ ผมชื่อธาราเป็นแฟนพิชฎา” ธาราตีขลุมเอาเจ้าบ้านมาทำแฟน สร้างความขุ่นเคืองใจให้เกิดแก่แมคโลริคจนมันแสดงออกทางสีหน้า ใบหน้าคมเข้มบูดบึ้งและเริ่มมีสีแดงพาดที่โหนกแก้มทั้งสอง อาจจะเพราะอากาศที่ร้อนเกินไปหรือไม่ก็เป็นเพราะประโยคแนะนำตัวของนักเขียนหนุ่ม
บุรุษเลือดผสมหันไปถามเจ้าบ้านทางสายตา และคำตอบของพิชฎาคือส่ายหน้าดิก
“ไม่ใช่นะ คือว่าธารคงเข้าใจผิด ฉันกับเขาเป็นแค่อดีตของกันและกันเท่านั้น” ยืนยันหนักแน่น จ้องหน้าธาราไม่สะทกสะท้าน
“โธ่ฎา นี่ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ ขอร้องล่ะ ธารบอกแล้วไงว่าขอโทษ” นักเขียนหนุ่มอ้อนวอนไม่ได้แคร์ดวงตาของบุคคลที่สามแม้แต่น้อย ตอนนี้ดวงตาสีเงินยวงของแมคโลริคมันจะกำลังจะกลายเป็นสีเพลิงแล้ว
“เรื่องของเรามันจบแล้วธาร มันไม่มีวันเหมือนเดิมตั้งแต่วันที่ธารทิ้งฎาไปหาผู้หญิงคนนั้น เราเลิกแล้วต่อกันเถอะนะ อย่ามาหาฎาให้ฎาต้องอึดอัดอีกเลย ถ้าธารยังตื้อไม่เลิก ฎาจะเรียกตำรวจ” เจ้าบ้านเอ่ยอย่างหนักแน่นไร้ซึ้งเยื่อใยรักเมื่อวันวาน แม้ว่าธารกำลังทำให้เธอกลัวก็ตาม เขาไม่ใช่คนที่จะขยันตื้ออะไรมากมายขนาดนี้ ด้วยนิสัยของเขาคงไม่เกาะแกะใครหากว่าคนคนนั้นไม่มีสิ่งที่เขาต้องการ มันน่ากลัวตรงที่เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากเธอ
“ไม่ ธารไม่ยอมแพ้หรอก ธารรู้ตัวว่าผิดแต่ธารพร้อมจะทำทุกอย่างให้ฎาหายโกรธ ให้โอกาสธารนะฎา ให้โอกาสธารอีกครั้งเถอะนะ” ยังไม่เลิกความพยายาม
“ไม่!”
มิใช่พิชฎาที่ตอบคำถามของธารา แต่เป็นหนึ่งบุรุษที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ” ธารตอกหน้าคนที่กล้ายื่นหน้าเข้ามาแส่ เขาไม่สนอะไรทั้งนั้น
“บังเอิญใช่ รัญตาคงไม่ดีใจหรอกที่เห็นคุณมาเกาะแกะน้าสาวของเธอ และผมในฐานะแฟน ผมควรจะดูแลคุณน้าให้ดีที่สุดจริงไหม” แมคโลริคกล่าว จะว่าข่มขวัญคนฟังก็คงไม่ใช่นัก มันเป็นการหาข้ออ้างมาปกป้องพิชฎามากกว่า
“หึๆ คุณน้างั้นหรือ...ได้ ผมถอยก็ได้ แต่วันนี้แค่วันเดียวนะ แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาใหม่นะฎา” ธารายืนยันคำพูดของเขาด้วยดวงตามั่นคงที่ทอทอดไปยังดวงตาสีนิลของพิชฎา หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแม่วัวตัวแห้งๆ ตัวหนึ่งที่ถูกคว้านจนหลังหวะ
“เมื่อไหร่มันจะเลิกมาบ้านนี้ ผมไม่ชอบ” แมคโลริคถามเจ้าบ้าน แต่พิชฎาไม่ได้ฟัง ตอนนี้นักเขียนสาวกำลังจ้องมองแผ่นหลังของชายร่างสูงที่กำลังเดินไปขึ้นรถของเขาที่จอดอยู่ไม่ไกล เธอไม่ไว้ใจธาราเลย เหมือนเขามีไม้เด็ดไม้ตายที่สามารถทำให้เธอศิโรราบได้
“มองซะตาละห้อย หรือว่าอยากกลับไปคืนดีกับหมอนั่นห๊ะ!”
น้ำเสียงห้วนจัดตวาดใส่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ พิชฎาสะดุ้งเฮือก ไม่เข้าใจว่าเขาจะโกรธเธอทำไม
“ปากปีจอที่สุดเลยคุณนี่ ถ้าฉันจะโง่ขนาดนั้นคุณก็อย่ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตฉันเลย มันเสียเวลาเปล่าๆ” ประชดอย่างขุ่นเคือง แมคโลริคดูถูกเธอมากไปแล้ว
“ก็ดี! อย่าให้รู้ว่าคุณกลับไปคืนดีกับไอ้หน้าวอกนั่น ผมไม่เอาคุณกับมันไว้แน่ๆ พิชฎา!” มีเสียงคำรามในลำคออย่างคนที่กำลังโกรธจัดและหาที่ระบายไม่ได้ แมคโลริคเป็นคนโมโหร้าย โดยเฉพาะโมโหหึง เขาพร้อมจะพังทุกอย่างตรงหน้าหากว่าใครหน้าไหนจะมายุ่งกับคนของเขา
พิชฎาหน้าเจื่อน เขาจับแขนเธอแรงจนกระดูกข้างในจวนจะกลายเป็นวุ้นเละๆ เวลาเขาโกรธมันน่ากลัวชะมัด
“โอ๊ย! ฉันเจ็บนะ ทำไมต้องทำรุนแรงด้วยเล่า ปล่อยแขนฉันก่อนเถอะนะขอร้อง” วงหน้าเนียนใสบูดบึ้งด้วยความเจ็บ เขาจะฆ่าเธอหรืออย่างไรถึงได้ทำรุนแรงขนาดนี้
มือแกร่งรีบปล่อยจากแขนเรียว แมคโลริคดึงสติกลับคืนหลังจากที่มันเตลิดไปเพราะหญิงสาวตรงหน้า รู้สึกว่าหล่อนจะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกเขามากขึ้นทุกขณะ
“ผมขอโทษ ผม...ลืมตัว” เมื่อผิดชายหนุ่มก็ยอมขอโทษโดยง่าย เขาไม่อยากเห็นใบหน้างามบูดบึ้งเพราะการกระทำของตัวเอง พยายามอย่างที่สุดที่จะใช้สติมากกว่าอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน
“ถึงฉันจะเป็นลูกหนี้แต่มันไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำอะไรฉันก็ได้นะแมคโลริค คุณยังไม่มีสิทธิ์ในตัวฉันขนาดนั้น อย่าล้ำเส้นให้มันมากนัก ชีวิตนี้มันยังเป็นของฉัน ไม่ใช่ของคุณ”
น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวเปล่งจากริมฝีปากคู่งาม มือข้างซ้ายลูบป้อยๆ ที่หัวไหล่ขวาราวกับปลอบใจให้มันอดทนต่อความเจ็บปวด
แมคโลริคเคลื่อนกายเข้าหาร่างงาม เขาไม่ได้เอ่ยคำขอโทษอีกแต่ยกมือขึ้นบังแดดให้หญิงสาวอีกครั้ง
“ผมรู้ว่าผมก็ทำไม่ถูก ผมขอโทษจริงๆ นะ เราสองคนพบเจอกันในลักษณะที่ไม่เหมือนคนอื่น คุณอาจคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรามันไม่สำคัญ แต่สำหรับผม ทุกวินาทีที่คุณอยู่ใกล้ๆ มันมีความหมายเสมอ มันมีอิทธิพลจนผมพาลเกลียดผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้คุณ” เขาสารภาพ ไม่ใส่ใจต่อประกายแดดแผดร้อนที่กำลังลามเลียทั่วร่าง
“อย่าพูดเหมือนฉันเป็นคนสำคัญในเมื่อฉันเป็นแค่ลูกหนี้ ส่วนคุณ...เจ้าหนี้ อย่าลืม!”
พูดจบก็ปัดมือเขาที่บังแดดอยู่เหนือศีรษะให้ออกห่างศีรษะตน ก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้านโดยไม่หันมามองแมคโลริคอีกเลย
ลมหายใจอุ่นร้อนถูกพ่นออกจากรูจมูกทั้งสองของบุรุษร่างสูง แค่นี้ขี้ปะติ๋ว เขาไม่ยอมแพ้พิชฎาง่ายๆ หรอก อย่างไรเสียเขาต้องได้หล่อนทั้งตัว และหัวใจ!
********************************
ราคา
210 บาท