“แสนงอนตั้งแต่เล็กจนโตไม่เปลี่ยนเลย พี่ง้อหญิงจนเหนื่อยที่จะง้อแล้วนะ” “ก็ใครใช้ให้ทรงง้อล่ะ” ปลายสุรเสียงใสตอบสะบัด เจ้าชายกฤตตินสรวลนิดๆ ก่อนจะทรงขยับเข้าสวมกอด ไม่สนพระทัยกับอาการดิ้นรนของอีกฝ่ายสักนิดเดียว “ปล่อยนะ หญิงบอกให้ปล่อย” “ไม่ปล่อย พี่บอกแล้วไงว่าเหนื่อย หญิงปล่อยให้พี่วิ่งตามง้อตั้งแต่ป้อมปืนจนถึงสวนนี่ ไกลโขอยู่นะ ไม่เห็นใจพี่บ้างหรือ” “หญิงก็ทูลแล้วเหมือนกัน ว่าใครใช้ให้ทรงวิ่งตามง้อ” “เด็กดื้อ” “หญิงไม่ใช่เด็กแล้วนะ” “แล้วที่ทำอยู่นี่เรียกว่าอะไร แก้มป่องๆ นี่มันน่าจูบให้ยุบนักเชียว” ไม่ตรัสเปล่า ยังทรงแกล้งโน้มพักตร์เข้าหาด้วย เจ้าหญิงอินทุมณฑลทรงสะดุ้ง “คนฉวยโอกาส” “โอกาสเปิดให้เองนี่นะ ไม่รีบคว้าเอาไว้ก็เห็นจะเขลาเต็มที” “ทรงทำแบบนี้กับผู้หญิงมากี่คนแล้วคะ” “ถ้าไม่นับแม่ พี่พูดได้เต็มปากว่ามีแต่หญิงคนเดียวและเป็นคนสุดท้าย หรือหญิงอยากให้พี่ทำกับใครอีก” “ก็ทรงลองทำกับผู้หญิงอื่นสิคะ แล้วจะทรงหาว่าหญิงไม่เตือนไม่ได้” “เฮ้อ! นี่แหละผู้หญิง เอาอย่างนี้หญิงตามพี่ไปที่มณีราตรี พี่มีขนมอร่อยๆ ให้หญิงกินเยอะเลย” “หญิงโตแล้วนะคะ ไม่ต้องเอาขนมมาล่อ” เจ้าหญิงอินทุมณฑลเกือบสรวล เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต คราวใดก็ตามที่ทรงงอน เจ้าชายกฤตตินก็มักจะทรงใช้วิธีนี้ง้ออยู่เสมอ “งั้นจะเอาอะไรมาล่อดีล่ะ ตัวพี่ดีไหม” เนตรสีลูกหว้าเป็นประกายพราวระยับอย่างเจ้าเล่ห์ เจ้าหญิงอินทุมณฑลเม้มพระโอษฐ์แน่นกับความนัยลึกล้ำที่คนตรงหน้าจงพระทัยสื่อมา
|