จะเป็นอย่างไรเมื่อ "มาอาล" ชายหนุ่มจากดินแดนทะเลทรายต้องหลบไปรักษาหัวใจ ณ ดินแดนแห่งสายฝนพรำ...ลอนดอน ตอนที่ 1 มาอาล ราชิด มุฮัมมัด ตัดสินใจสลัดผ้าห่มออกจากตัว ลุกขึ้นเดินไปยืนพิงขอบหน้าต่าง มองผ่านความมืดไปยังถนนในซอยแคบๆ ที่ถูกล้อมด้วยตึกเก่าทึบทึม แสงไฟจากริมถนนและหน้าอาคารร้านค้าเห็นเพียงวับแวมเมื่อมองจากมุมสูงสุดของห้องชุดสุดหรูใจกลางกรุงลอนดอน เพราะฝัน...ฝันซ้ำๆ ที่เหมือนจริงชวนใจหาย ราวกับว่าสิ่งที่เขายึดเหนี่ยวเอาไว้ได้หลุดลอยไปแล้ว เริ่มตั้งแต่ฝันถึงนาดา...วันที่เกิดอุบัติเหตุรถชนกันครั้งใหญ่ในดูไบ ในฝันนั้น...มาอาล มองเห็นตัวเองอุ้มร่างโชกเลือดของนาดาวิ่งไปตามท้องถนนอันว่างเปล่ามืดมิดอย่างคนสติไม่อยู่กับตัว จากนั้นภาพก็เปลี่ยนมาเป็นเขายืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาว เขาเห็นหน้าหล่อนเป็นครั้งแรก จากทุกครั้งที่ฝัน เขาเคยเห็นเพียงดวงตาคมซึ้งผ่านช่องตรงนัยน์ตาของชุดคลุมสีดำยาวกรอมเท้า ขณะที่ความฝันนั้นดำเนินต่อไป...นาดาแลดูสวยจับตาในชุดสีขาว ร่างของหล่อนเล็กบางเหมือนเด็กวัยรุ่น ดวงหน้ารูปไข่ล้อมด้วยผมยาวสลวยหล่อนยิ้มให้เขาและบอกว่า มีคนมาดูแลเขาแทนหล่อนแล้ว มาอาลไม่เข้าใจ เขาพยายามยื้อให้หล่อนอยู่ แต่เขาก็พ่ายแพ้และเฝ้ามองหล่อนลอยล่องลับหายไปตามแรงลม บริเวณรอบตัวของเขาเปลี่ยนมาเป็นทะเลทรายเวิ้งว้างสุดสายตา จากนั้นจู่ๆ สายฝนก็โปรยลงมา แล้วเขาก็สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาในเวลานั้นพอดี...มาอาลเอามือลูบหน้าอย่างอ่อนระโหย ในความฝันมากมายด้วยรายละเอียดและซ้ำๆ ในระยะหนึ่งสัปดาห์ ตลอดเวลาหนึ่งปีที่เขาจากดินแดนทะเลทายอันเป็นบ้านเกิดมาเพราะไม่สามารถทนอยู่กับความเศร้าโศก ทุกข์ทรมานกับการการจากไปอย่างกระทันหันของนาดาได้ โอมาร์และนิสรินผู้เป็นภรรยาต่างมีความเห็นพ้องต้องกันว่า สภาพแวดล้อมเดิมๆ ทำให้เขาไม่อาจลืมเรื่องราวอันเลวร้ายต่างๆ ที่ผ่านมาได้ จึงเสนอให้เขาหยุดพักยาว...จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปีไม่มีกำหนด มาอาลตั้งใจช่วยผู้เป็นนายดูแลธุรกิจ บริษัทตัวแทนจำหน่ายน้ำมันดิบรายใหญ่ด้วยเรี่ยวแรงและกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ เพราะโอมาร์ เขาถึงมีวันนี้ เด็กชายกำพร้าไร้ญาติพี่น้องต้องการ เพียงเพราะเขามีเลือดต่างชาติอยู่ในตัว...อับดุลเมาญูดพ่อของเขาซึ่งเป็นองครักษ์คนสนิทของชีคอะมานท่านปู่ของโอมาร์กับอีมาน เมื่อเขาสิ้นพ่อ แม่ก็มาลาจาก แล้วก็ไม่รู้ข่าวคราวอีกเลย เขาเติบโตมากับสองพี่น้องฝาแฝด ถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน แต่เขาก็เจียมตัวว่าเป็นเพียงเด็กในบ้าน โอมาร์ปฎิบัติต่อเขาเหมือนเป็นนองชายร่วมสายโลหิต รวมถึงเป็นคนสนับสนุนให้เขาร่ำเรียนในสาขาวิชาที่เขาถนัดและให้อิสระในการเลือกทำงานเมื่อเรียนจบกับมา ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ โอมาร์แบ่งทรัพย์สินส่วนหนึ่งจากมรดกขององค์ชีคอะมานให้หลังจากเขาบรรลุนิติภาวะ มันมากมายเสียจนเขาตกใจ มาอาลถามโอมาร์ด้วยความสงสัย แล้วได้คำตอบว่า เป็นส่วนที่พ่อของเขาควรจะได้รับจากความภักดีที่อับดุลเมาญูดมีต่ององศ์ชีค และเขาก็เจริญรอยตามพ่อ มาอาลทุ่มเทกำลังกายกำลังใจกับงานอย่างเต็มที่ โอมาร์เปรียบเสมือนตัวแทนของพ่อสำหรับเขา เมื่อเขามีทุกข์ ผู้เป็นนายก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ การละทิ้งหน้าที่ ละทิ้งบ้านมาอยู่อีกมุมหนึ่งของโลกไม่ใช่ความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะโอมาร์และนิสรินต่างเห็นพ้องต้องกัน ด้วยหวังว่าเขาจะกลับมาเป็นมาอาลผู้เป็นมิตรและยิ้มง่ายคนเดิม มาอาลเอามือลูบหน้าอีกครั้งและถามตัวเองว่าความฝันเป็นลางบอกอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่ ใครหรือที่จะมาแทน ‘นาดา’ ของเขาได้ ผู้หญิงที่บริสุทธิ์ สะอาดสดใส อ่อนหวาน และแสนดี ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆโดยเฉพาะในโลกตะวันตก ชายหญิงต่างมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน และที่สำคัญเขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะรักใครได้อีก ช่างน่าประหลาดเสียนัก...มาอาลคิดทบทวนถึงความรู้สึกของตัวเอง เขาไม่เคยดื่มด่ำซาบซึ้งไปกับคำหวาน คำชื่นชมของบรรดาสาวสวยมากหน้าหลายตาที่เขามีสัมพันธ์ด้วย บทรักอันช่ำชองของพวกหล่อนทำให้เลือดหนุ่มเดือดพล่านได้ก็จริง แต่มันก็แค่นั้น… เขาได้ปลอดปล่อย แล้วก็จบกันไป เขากลายเป็นตัวร้าย เป็นชายไร้หัวใจในหมู่สาวๆ แต่ก็นั่นแหละ ด้วยอำนาจเงินบวกกับรูปร่างหน้าตาอย่างที่ผู้หญิงปฏิเสธไม่ลง มาอาลหนุ่มรูปงามจากดินแดนแห่งทะเลทรายผู้พักอาศัยอยู่บนห้องชุดสุดหรูกลางกรุงลอนดอน กลายเป็นความท้าทายสำหรับหญิงสาวผู้พิศมัยการเอาชนะ ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองอย่างเยาะหยัน...เขาคิดคำนึงถึงเรื่องนี้บ่อยครั้ง ความจริงเขาไม่ใช่ผู้ชายที่เหยียดหยามเพศของผู้ใหนกำเนิด ถึงแม้ว่าจะถูกแม่บังเกิดเกล้าทอดทิ้ง แต่ก็ยังมีผู้หญิงที่มีน้ำจิตน้ำใจอ่อนโยนเป็นที่สุดสำหรับเขาถึงสองคน ...นาดาและนิสริน มาอาลคิดถึงหญิงสาวทั้งสองจับหัวใจ หล่อนคิดถึงบ้านและถามตัวเองว่ามาทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่ เกือบสี่เดือนเต็มที่หล่อนละทิ้งทุกอย่างมาเพื่อวิ่งตามความฝันของตัวเอง อดีตพนักงานขายตัวเครื่องบินผู้กินเงินเดือนหมื่นเศษๆ ต้องมาใช้เงินต่อเดือนเกือบแสนในดินแดนอันขึ้นชื่อลือชาเรื่องค่าครองชีพที่แพงลิบ นฤภร พิมพ์อุษาเพิ่งรู้ตัวว่าตัดสินใจผิด เมื่อเงินเก็บเกือบสี่ปีและสร้อยทองอีกกว่ายี่สิบบาทที่ตายายทิ้งไว้ให้ก่อนตายกำลังจะหมดไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โชคดีที่หล่อนจ่ายค่าเล่าเรียนภาษาอังกฤษและค่าเช่าบ้านล่วงหน้า ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับตัวเอง พึ่งพาแม่กับพ่อน่ะหรือ ฝันไปเถอะ...ตั้งแต่เล็กจนโต หล่อนก็มีตากับยายเท่านั้นที่รักหล่อนอย่างจริงใจ ทั้งพ่อและแม่ต่างแต่งงานใหม่ มีลูกใหม่ ไม่มีใครเหลียวแลเด็กหญิงนฤภรผู้เป็นส่วนเกิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหล่อนก็ไม่ได้เก็บมาเป็นปมด้อยของชีวิต หล่อนมีเป้าหมาย มีความฝันที่ชัดเจน ...ฝันที่ทำให้หล่อนต้องมาเดินท่อมๆ อยู่ใต้ท้องฟ้าอันขุ่นมัวเพราะสายฝนพรำลงมาเกือบตลอดทั้งวันและอากาศก็หนาวเหน็บจนแทบจะก้าวขาไม่ออก แต่หล่อนไม่มีทางเลือกมากนัก หากต้องนั่งรถจากที่พักไปเรียนนั่นก็หมายถึงค่าอาหารหนึ่งมื้อ ทั้งที่ลดลงแล้วจากสามมื้อเหลือสองคือเช้าและกลางวัน นฤภรถอนลมหายใจ เปลืองเวลาที่จะนึกโทษตัวเอง เมื่อตัดสินใจแล้ว ต้องยอมรับและสู้ต่อให้ถึงที่สุด ก็ชื่อของหล่อนหมายความว่าเข้มแข็งไม่ใช่หรือ ตากับยายพูดว่าอย่างนั้น และหล่อนก็มีเลือดนักสู้ของท่านทั้งสองอยู่ในตัวแล้วจะไปกลัวอะไร หญิงสาวบอกตัวเองซ้ำๆ เส้นทางข้างหน้าที่ลาดลงจากเนิน สวนสาธารณะกลางกรุงเขียวครึ้ม ฉ่ำชื้นเพราะหยาดน้ำจากสายฝน ไอดินผสมกลิ่นฝนและต้นหญ้าอวลกรุ่นในอณูของอากาศคือเอกลักษณ์ของกรุงลอนดอน สำหรับผู้คนจำนวนหนึ่งที่เป็นชาวเมืองคงจะเคยชิน คิดว่านี่คือชีวิตที่ปกติสุข เพราะในสวนสาธารณะและริมแม่น้ำ ตลอดแนวฝั่งทุกหนแห่งจึงมีผู้คนหอบลูกจูงหลานออกมาเดินเล่นหรือปิกนิคกลางแดดใสที่น้อยนักจะหาได้ แต่ไม่ใช่สำหรับนฤพร เพราะจนป่านนี้หญิงสาวก็ยังปรับตัวไม่ได้ หล่อนคิดถึงบ้าน ทั้งๆ ที่ไม่มีบ้านจะอยู่ เพราะปล่อยให้คนเช่าไปแล้ว คิดถึงเพื่อนร่วมงาน ที่แม้จะทะเลาะเบาะแว้ง อิจฉาริษยากันบ้างตามประสาผู้หญิงที่อยู่รวมกันหลายคน และคิดถึงชายหนุ่มคนที่ทำให้หล่อนตัดสินใจง่ายขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิต นฤภรไม่มีวันลืมผู้ชายใจร้ายและเห็นแก่ตัวคนนั้น เอกสิทธิ์ทำกับหล่อนราวกับเป็นคนอื่น ทั้งที่เขาเป็นทั้งเพื่อนบ้าน เพื่อนรุ่นพี่และคนที่บอกว่ารักหล่อนกว่าใครในโลกหล้า แต่เมื่อเจอคนใหม่ที่พรั่งพร้อมกว่า เขาก็ทิ้งหล่อนไป จากนั้นเมื่อสมหวังกับทุกสิ่ง...ทั้งหน้าที่การงาน บ้านหลังใหญ่ รถคันหรูกับภรรยาเศรษฐีรุ่นน้า เขาก็กลับมาขอคืนดีโดยขอให้หล่อนเป็นรองผู้หญิงของเขา ช่างคิดได้! เอกสิทธิ์เห็นหล่อนเป็นอะไร ผู้หญิงโง่เง่า สิ้นไร้หนทางกระนั้นหรือ จริงอยู่หล่อนรักเขา แต่ก็ใช่ว่าจะยอมเขาไปทุกอย่าง ชีวิตของหล่อนที่ดำเนินมาก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าฝันสวยๆ ที่รออยู่ข้างหน้ากับการมีสามีที่ดีและบ้านหลังเล็กๆ ที่อบอุ่นพอพักพิงให้แก่ความขาดหายของหล่อน เมื่อฝันสลาย รักแรกถูกทำลาย นฤภรก็ไม่ขออยู่...หญิงสาวตัดสินใจเด็ดขาด ชีวิตใหม่ในต่างแดน แผนการเรียนต่อปริญญาโทถูกรื้อฟื้นแล้วปลุกปลอบใจตัวเองอยู่ยกใหญ่ให้ฮึดสู้ ฟังดูน่าสมเหตุสมผลดีสำหรับนฤภร หรืออย่างน้อยก็ในตอนนั้น แต่สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ เรี่ยวแรงของหล่อนจวนจะสิ้น ความอดทน ความหวังความฝันเหมือนจะถูกทำลายไปเพราะความเหงาและความหนาวเย็นของอากาศ น้ำตารินไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว จนเมื่อหล่อนสัมผัสความเค็มปร่าของหยาดน้ำที่ปนมากับละอองฝน นฤภรใช้หลังมือปาดน้ำตาที่เอ่อล้นมาจากหางตาแล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดหน้า ขณะเดินลอดอุโมงค์รถไฟใต้ดินเพื่อข้ามไปยังอาคารสีอิฐโดดเด่นเป็นสง่าอีกฟากถนน และเมื่อพ้นบันไดขึ้นมายังพื้นหินเฉอะแฉะ ฝนห่าใหญ่ก็เทลงมาอีก ‘ให้ตาเถอะ!..นฤภร’ หล่อนร่ำร้องกับตัวเองอยู่ในใจ ‘หล่อนจะทนอยู่ในสภาพนี้ได้อีกกี่วัน’ สวรรค์ทรงโปรด ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก เหลืออีกยี่สิบนาทีก็จะถึงเวลาเรียน และวันนี้ก็เป็นวันสอบวัดผลภาษาอังกฤษครั้งสุดท้าย หากหล่อนพลาด นั่นก็หมายถึงการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด! หล่อนไม่มีเวลา ไม่มีเงินพอที่จะลงทะเบียนเรียนซ้ำ เพราะที่มีอยู่ก็เป็นค่าเล่าเรียนต่อปริญญาโทในเทมอแรกตามความตั้งใจเดิม แต่หล่อนก็ต้องสอบภาษาให้ผ่านตามเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนด ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนมา เคยมั่นใจว่าเก่ง พูดได้น้ำไหลไฟดับจนเพื่อนร่วมงานต่างออกปากชม ...แต่พอเอาเข้าจริง ภาษาอังกฤษของหล่อนอยู่ในระดับเดียวกับเด็กอนุบาล ที่พูดได้คล่องปากก็มีศัพท์อยู่เพียงไม่กี่คำ และเมื่อมาเจอข้อสอบ หล่อนก็เดี้ยง! นฤภรตัดสินใจยกฮู้ดติดเสื้อกันฝนขึ้นคลุมศีรษะ แล้วออกวิ่ง ประตูทางเข้าเห็นเพียงรางๆ อยู่กลางสายฝน หล่อนวิ่งเต็มฝีเท้าของอดีตนักกรีฑาประจำมหาวิทยาลัย เป้าหมายคืออาคารอิฐแดงที่เห็นอยู่ข้างหน้า แต่ก่อนจะถึงจุดหมาย เงาสูงทะมึนก็วิ่งสวนมา หล่อนชนร่างสูงนั้นอย่างจัง จากแรงกระแทกทำให้นฤภรล้มไปกองอยู่บนพื้นหญ้าเฉอะแฉะพร้อมเป้สะพายหลัง ส่วนถุงผ้าใส่กล่องอาหารในมือกระเด็นไปอีกทาง! “โอ๊ะ!... ขอโทษ คุณครับ...คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ความโกรธทำให้นฤภรปัดแขนที่ยื่นออกมาช่วยพยุงแรงๆ หล่อนทรงตัวขึ้นยืน แต่ก็ลื่นล้มลงไปอีกเมื่อก้มลงไปหยิบถุงผ้าที่จมอยู่ในแอ่งน้ำข้างเดซี่ซุ้มใหญ่ “นี่ คุณ” ร่างสูงปราดเข้ามาอุ้มหล่อนขึ้นในวงแขนอย่างง่ายดายและรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด “อ๊าย!...” นฤภรไม่ฟัง หล่อนทั้งร้องทั้งดิ้น “ไอ้บ้า คุณเป็นใคร ปล่อยฉันนะ!” “หุบปาก” เขาตวาดเสียงกร้าวแข่งสายฝน “ผมบอกว่าเสียใจ ไม่ได้ยินหรือไง แล้วก็โปรดอยู่นิ่งๆ ไม่ผมงั้นปล่อยให้ตกลงไปหลังหักไม่รู้ด้วยนะ” หล่อนหยุดกึกและจ้องหน้าเขาเขม็ง ขนทุกเส้นบนร่างกายของนฤกรลุกซู่
|