“โรมิโอ...” เสียงของหญิงสาวผิวขาวผ่อง ผมสีทองเจิดจ้าบนระเบียงหินที่ยื่นออกมาจากตัวอาคารอันเก่าแก่ เรียกสายตาเกือบร้อยคู่ที่ยืนอัดแน่นอยู่ในบริเวณไม่กี่ตารางเมตรให้ต้องหันไปมอง รวมทั้งหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง ปราดเปรียวในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำเข้มผู้ยืนกอดอกพิงกำแพงที่เลอะเทอะด้วยปากกาสีต่างๆ อันเกิดจากฝีมือของนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมบ้านจูเลียต สาวสวยเจ้าของตำนานรักอันลือลั่นของ ‘วิลเลียมส์ เชคสเปียร์’ ก็ยังอดยิ้มไม่ได้ เมื่อสบตากับชายหนุ่มเจ้าของชื่อนั้นโดยบังเอิญ! ...ผู้ชายเอเชียรูปร่างสูงองอาจ ล่ำสัน ทะมัดทะแมงอย่างนักกีฬา หากผิวขาวจัดจนยากที่จะคาดเดาได้ว่าเป็นชาติใด “โรมิโอ...” หญิงสาวที่ยืนอยู่บนระเบียงเรียกซ้ำเมื่อเห็นชายหนุ่มที่ตนเรียกทำท่าว่าจะเลี่ยงหลบออกจากบริเวณ “ถ่ายรูปสิ ถ่ายรูปให้ฉันหน่อย...บนนี้เร็วๆ โรมิโอ” ประโยคท้ายเน้นเสียงหนัก...ชัดเจน แล้วเสียงกดชัตเตอร์รัวและเร็วก็ดังขึ้นติดๆ กันก่อนชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าโรมิโอจะเดินแหวกผู้คนออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เขาคงอาย” หญิงชราหนึ่งในลูกทัวร์ที่ยืนอยู่เคียงข้างกับไกด์สาวกระซิบด้วยสำเนียงอังกฤษโดยแท้ เมื่อมองตามร่างสูงสง่านั้นไปจนลับตา ก่อนหันกลับมายังหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างตัว “เอเชียเหมือนเธอเลยนี่ลิต้า...ชาติไหนน่ะรู้ไหม” จุลิตาส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่รู้ค่ะมาดาม ในรายชื่อที่ฉันมีไม่ได้บอกเอาไว้” “ฉันว่าเป็นเจแปนนิส” หญิงวัยใกล้เคียงกับคนแรกตั้งข้อสังเกต “ผิวเขาขาวมากเลยนะ” “ไม่หรอก” หญิงชราคนแรกแย้งและมองซ้ายมองขวาก่อนกระซิบกระซาบราวกับกลัวว่าใครจะมาได้ยิน “เจแปนนิสไม่รูปร่างสูงสง่า ตาไม่สวยคมอย่างพ่อหนุ่มคนนั้นหรอก อีกอย่างนะ ฟันของพวกเจแปนนิสนั้นไม่สวย เพราะกินสาหร่ายทะเลเยอะ” “อื้อฮือ...มันเกี่ยวอะไรกับสาหร่ายทะเลล่ะ” คู่สนทนาขัด แล้วหันไปทางหญิงสาวที่ยืนยิ้มอยู่เงียบๆ ก่อนขอความเห็น “เธอล่ะลิต้า คิดว่าเขามาจากไหน” จุลิตาหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบทีเล่นทีจริง “คนไทย...ฉันอยากให้เขาเป็นคนไทยเหมือนฉันค่ะมาดาม” สตรีจากเมืองผู้ดีทั้งสองมองหน้ากัน แล้วหันกลับมามองทัวร์ลีดเดอร์ของตนด้วยสายตาตื่นเต้น “นึกแล้วว่าเธอต้องเป็นคนไทย” หญิงชราจากเมืองผู้ดีคนแรกเอ่ย ดวงตาสีฟ้าอมเทาทอดมองมาฉายแววชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด “คนไทยสุภาพทั้งท่าทางและน้ำเสียง ผิดกับเอเชียประเทศอื่นๆ” จุลิตายิ้มรับและเอ่ยขอบคุณหญิงชราจากใจจริง ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินผู้คนกล่าวขวัญถึงความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนอันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่ไม่มีใครในโลกเสมอเหมือน แต่หล่อนก็ไม่เคยบอกใครว่าหล่อนไม่เคยเห็นเมืองไทย ไม่มีญาติหรือเพื่อนคนไทยให้ถามถึงถิ่นที่มาของตนเลยสักคน เมื่อจุลิตาเงียบไป หญิงชราชาวเมืองผู้ดีทั้งสองจึงหันมองไปรอบๆ บริเวณ แล้วก้มลงดึงพัดด้ามจิ๋วจากกระเป๋าถือออกมาโบกเบาๆ เพื่อดับร้อนเมื่อฝูงชนทยอยกันเข้ามาไม่ขาดสาย “ฉันกลับไปรอที่รถดีกว่า คนเยอะเหลือเกิน” หญิงชราที่ชื่อแม็กกี้บ่นเบาๆ “ไม่รู้ว่าคนมาจากไหน จะถ่ายรูปคู่กับจูเลียตสักหน่อย หันไปทางไหนก็มีแต่คน เธอล่ะเอแลนจะไปกับฉันไหม” เอแลนหันไปมองทางรูปหล่อโลหะของจูเลียตที่แวดล้อมไปด้วยคนหนุ่มสาวจากทั่วสารทิศด้วยแววตาแสนเสียดาย แล้วพยักหน้าเบาๆ “ไป...แม็กกี้ ฉันไปกับเธอ ลิต้าล่ะไปด้วยกันไหม” ประโยคหลังหันไปถามจุลิตา นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาฉายชัดถึงความปรานีอย่างแท้จริง “ไม่หรอกค่ะ ฉันต้องรอให้คุณผู้หญิงที่อยู่ข้างบนลงมาก่อน” จุลิตาตอบแล้วยิ้มน้อยๆ อย่างอารมณ์ดี หญิงชราจากเมืองผู้ดีทั้งสองพยักหน้ารับแล้วเดินเบียดผู้คนออกไป อีกพักใหญ่หญิงสาวที่จุลิตารอคอยก็เดินตรงเข้ามาหา “เธอเห็นแฟนฉันไหม” น้ำเสียงนั้นร้อนรนหากยังคงความถือเนื้อถือตัวเอาไว้ในท่าที “เดินออกไปแล้วค่ะมิส...” จุลิตาตอบแล้วรีบอธิบายต่อเมื่อเห็นหน้าสวยหวานกับดวงตาสีฟ้าใสคู่นั้นเริ่มขุ่นมัว “สงสัยจะรออยู่ข้างนอกค่ะ เพราะในนี้ร้อนเหลือเกิน” “แล้วคนอื่นๆ ล่ะ” “กลับไปรอที่รถหมดแล้วค่ะ คืนนี้มีละครโรมิโอและจูเลียต จึงรีบพากันกลับก่อน” “โอ...จริงสินะ คืนนี้มีละคร” สาวสวยจากเมืองผู้ดีเอามือทาบอก แล้วมองดูจุลิตาอย่างชั่งใจ “เธอรู้จักเวโรน่าดีแค่ไหน” “ฉันเป็นคนเวโรน่าค่ะ” คิ้วเรียวสวยเหนือดวงตาสีฟ้าใสเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ “ฉันโตและเรียนหนังสือที่นี่ค่ะ”จุลิตารีบอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อย่างอดทนกับสายตาดูแคลนของอีกฝ่าย “ถ้ามิสอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเวโรน่าก็ถามฉันได้” สาวสวยพยักหน้ารับรู้ “ฉันอยากได้ชุดสวยๆ หรูๆ สำหรับละครคืนนี้ เธอรู้ไหมว่าฉันจะหาซื้อได้ที่ไหน” “รู้ค่ะ เดินออกจากนี่ไปแล้วเลี้ยวขวาก็เป็นร้านแบรนด์เนมทั้งนั้น ถ้ามิสอยากแวะไปดูก็ยังพอมีเวลา...” ไม่มีคำขอบคุณจากสาวสวยแห่งเมืองผู้ดี คงมีแต่ความเย่อหยิ่งถือตัวที่ถ่ายทอดผ่านดวงตาสีฟ้าใสซึ่งเหลือบมองเพียงแวบหนึ่งก่อนผละออกไปตามคำบอก จุลิตายักไหล่น้อยๆ แล้วหันกลับไปยังหนุ่มสาวสามสี่คนที่ยืนโทรศัพท์อยู่สุดผนังกำแพงอีกด้านหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นหล่อนจำได้ดีว่าเป็นหนุ่มน้อยที่ขยิบหูขยิบตาให้หล่อนก่อนลงจากรถ และทันทีที่หนุ่มน้อยผู้นั้นหันมาเห็นจุลิตา รอยยิ้มเปิดเผยก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาหา “รอพวกเราอยู่ใช่ไหม” “ค่ะ” จุลิตาตอบ “คนอื่นๆ กลับไปหมดแล้ว เหลือแต่กลุ่มของพวกคุณ” “จะรีบไปไหนนะ เวลายังเหลืออีกตั้งเยอะ” หนุ่มน้อยเอ่ยยิ้มๆ “คืนนี้มีละครที่เตียโตร โรมาโนค่ะมิสเตอร์คาร์ตัน” “ผมวิลเลียมส์ครับ หรือเรียกวิลสั้นๆ ก็ได้” หนุ่มน้อยบอก ทำหน้าชอบกลเมื่อหญิงสาวเรียกนามสกุลของเขา “ค่ะ คุณวิลเลียมส์” จุลิตาพยักหน้ารับตามใจคู่สนทนา “คุณป้าทั้งสองของคุณกลับไปรอที่รถแล้วค่ะ” “ป้าเอแลนน่ะหรือครับ” หนุ่มน้อยจากเมืองผู้ดีมีสีหน้าตกใจ “ผมยังไม่ได้ถ่ายรูปให้ป้าเลย แล้วนี่ผมจะทำยังไงดี กลับไปคงถูกแขวนคอแน่ๆ” “ทำไมล่ะคะ” “ป้าผมชอบวิลเลียมส์ เชคสเปียร์มากครับ” จุลิตาหัวเราะ “ฉันเข้าใจแล้วแหละค่ะว่า ทำไมคุณถึงชื่อวิลเลียมส์” วิลเลียมส์ คาร์ตันแห่งเกาะอังกฤษหัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจในความชาญฉลาดของสาวผิวสีน้ำผึ้งสวยที่ตนประทับใจตั้งแต่แรกเห็น “ครับ ป้าเอแลนเป็นคนตั้งให้ เพราะอยากให้ผมเป็นอัจฉริยะเหมือนวิลเลียมส์ เชคสเปียร์นักประพันธ์คนโปรด...แล้วคุณล่ะครับ คิดยังไง” ประโยคหลังเขาย้อนถามกลับ ดวงตาสีฟ้ากระจ่างจับนิ่งอยู่บนใบหน้าเรียวที่ไร้สีสันใดๆ แต่งแต้มของหญิงสาวอย่างลึกซึ้งมีความหมาย จุลิตาทำเป็นมองไม่เห็นมิตรภาพที่หนุ่มน้อยหยิบยื่นมาให้ ขณะตอบยิ้มๆ อย่างใจเย็นว่า “ถ้าคุณพูดถึงวิลเลียมส์ เชคสเปียร์ ฉันเห็นด้วยกับคุณป้าของคุณค่ะ” อีกครั้งที่หนุ่มน้อยรู้สึกทึ่งกับความฉลาดในการเอาตัวรอดของหญิงสาวชาวเอเชียผู้มีสำเนียงอังกฤษแท้ๆ ราวกับว่าเป็นเจ้าของภาษาเสียเอง และขณะที่เขากำลังนึกหาคำพูด เสียงเพื่อนชายหญิงที่เดินตามมาก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน “วิล!” “วิลเลียมส์!” “อะไร” วิลเลียมส์หันกลับไปมองเจ้าของเสียงอย่างรำคาญ “อยู่นี่แล้ว จะเรียกหาอะไรนักหนาฮึ!” สาวน้อยผู้เดินเคียงข้างมาพร้อมกับหนุ่มน้อยวัยเดียวกันหันมายิ้มให้จุลิตาอย่างเป็นมิตร แล้วมองไปทางเพื่อนชายก่อนเอ่ยยิ้มๆ “จะชวนไปซื้อของฝาก” “ใช่” หนุ่มน้อยผู้เดินมาสมทบพยักหน้า “ของฝาก...นายลืมแล้วหรือไงว่าแฟนนายอยากได้กระเป๋าถือ” วิลเลียมส์หน้าแดงก่ำเมื่อสบตาดำขลับของหญิงสาวที่ตนพึงพอใจ ขณะที่จุลิตายิ้มน้อยๆ อย่างเอ็นดูกับท่าทางของเด็กหนุ่ม “ฉันรู้จักร้านสินค้าลดราคา” หล่อนเอ่ยน้ำเสียงเป็นกันเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ถ้าคุณสามคนสนใจ ฉันจะพาไป” “สนใจสิ” สาวน้อยเอ่ยอย่างตื่นเต้น “มาอิตาลีทั้งทีไม่ได้กระเป๋าดีๆ รองเท้าสวยๆ ติดมือกลับบ้านฉันไม่ยอมแน่ๆ” จุลิตายิ้มให้แล้วหันไปทางหนุ่มน้อยวิลเลียมส์ “ไปค่ะคุณวิลเลียมส์ ไม่ไกลจากตรงนี้นักหรอกค่ะ” วิลเลียมส์ยิ้มสีหน้าดีขึ้นเมื่อเดินเคียงคู่ไปกับหญิงสาวที่ตนพึงพอใจ...ผ่านผู้คนที่ทยอยกันเข้ามาเยี่ยมชมบ้านจูเลียตออกไปสู่ทางเดินที่ปูด้วยหินก้อนมหึมา แล้วเลี้ยวขวาเข้าตรอกเล็กๆ อันเป็นที่ตั้งของร้านค้าแบรนด์เนมที่นำมาลดราคาทุกชนิด “โอ้โฮ...ร้านนี้หรือคะ” ลูกทัวร์ของเธอเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้นเมื่อจุลิตาหยุดยืนหน้าตึกเก่าแก่แต่งดงาม ชั้นล่างดัดแปลงเป็นร้านค้าทันสมัยได้อย่างกลมกลืน “ค่ะ ของแท้เมดอินอิตาลีทั้งนั้นเลยนะคะ” ไกด์สาวเอ่ยยิ้มๆ และอธิบายต่อเมื่อเด็กหนุ่มจากเมืองผู้ดีทำตาปรอยขอให้เข้าไปเป็นเพื่อน “ฉันไม่เข้าไปกับพวกคุณนะคะ เพราะต้องไปรอลูกทัวร์คนอื่นที่รถ...แล้วอีกสี่สิบนาทีเจอกันค่ะ” “ขอบคุณครับลิต้า” วิลเลียมส์จำใจเอ่ยเบาๆ ก่อนเดินตามเพื่อนทั้งสองเข้าไปในร้านด้วยท่าทางไม่เต็มใจ
|